ลดเค็ม ลดโรค "ไต"
วันพฤหัสบดีที่สองของเดือนมีนาคมในทุกๆ ปี เป็นวัน “ไตโลก” (World Kidney Day) ในปีนี้ สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมและรณรงค์ ภายใต้คำขวัญ "ทุกคนทั่วไทย ไตแข็งแรง" โดยให้ความสำคัญกับปัญหา “โรคอ้วน” ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคไต
ปัจจุบันสถานการณ์โรคไตทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทยข้อมูลจากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย (Thai -SEEK Project) พบว่าความชุกของคนไข้โรคไตเสื่อมเรื้อรัง ประมาณ 17.6 % ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคไตเสื่อมเรื้อรังประมาณ 8 ล้านคน ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ต้องรอการบำบัดทดแทนไต เช่น การล้างไต การเปลี่ยนไต จำนวนมากและในแต่ละปีจะมีคนเป็นโรคไตเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 7,000- 10,000 คน
จากข้อมูลพบว่าผู้ป่วยโรคไตมักจะมีภาวะแทรกซ้อนทางด้านหัวใจและหลอดเลือด ทำให้มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคไตค่อนข้างมาก ทำให้มีข้อจำกัดในการเข้าถึงการรักษา หน่วยงานต่างๆ ทั่วโลกจึงได้จัดกิจกรรมรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของโรคไต และหาแนวทางป้องกัน เพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดโรคไตในระยะยาว จากสถิติของคนไข้โรคไตในผู้ใหญ่พบว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไตอักเสบ
สาเหตุอื่นๆ ที่พบได้แก่ นิ่วที่ไต เก๊าท์ หรือยาที่มีผลกระทบต่อไต เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่เสตอรอยด์ที่เราเรียกว่า NSAID และกลุ่มยาสมุนไพรที่ไม่ทราบสรรพคุณที่ชัดเจน สำหรับการรักษาโรคไตในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ควรหมั่นพบแพทย์ให้สม่ำเสมอเพื่อปรับยาเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของไตและควรควบคุมเบาหวาน และความดัน ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนคนทั่วไปที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแนะนำให้ตรวจสุขภาพร่างกายประจำปี ควบคุมน้ำหนัก
ออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงยาที่ไม่จำเป็น ดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณ 1.5-2 ลิตรต่อวัน ลดอาหารเค็มเพราะทำให้ไตทำงานหนัก และทำให้บวมและมีความดันโลหิตสูง
คำแนะนำทั่วไปในการเลือกรับประทานนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็มหรือลดปริมาณการใช้สารปรุงรสในอาหาร เช่น เกลือ ผงชูรส น้ำปลา ซีอิ๋วหรือซอสต่างๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทผลไม้แช่อิ่ม อาหารหมักดอง อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป บางครั้งอาหารบางอย่างไม่มีรสชาดเค็มแต่มีส่วนประกอบของโซเดียมอยู่ด้วยก็ควรระมัดระวัง